#เด็กมีขุมพลังในใจ ไว้พร้อมใช้ แล้วหรือยัง?

Last updated: 14 ธ.ค. 2564  |  699 จำนวนผู้เข้าชม  | 

#เด็กมีขุมพลังในใจ ไว้พร้อมใช้ แล้วหรือยัง?

หลายๆครั้งที่เราเหน็ดเหนื่อย เจออุปสรรคในชีวิต เคยมั้ยค่ะ ที่เรานำขุมพลังในใจเราออกมาใช้ให้เราก้าวต่อไป  แล้วเด็กๆละมีขุมพลังในใจไว้พร้อมใช้…แล้วหรือยัง??

ขุมพลังในใจก็เหมือนแบตเตอรี่ในเครื่องใช้ต่างๆ   ที่คอยเติมพลังให้สิ่งนั้นๆ    เมื่อเด็กๆมีขุมพลังที่หนักแน่น คอยชุ่มชื่นหล่อเลี้ยงหัวใจ  เด็กๆก็จะก้าวต่อไปได้  และที่สำคัญ ขุมพลังในใจนี้ นำมาใช้แล้วไม่หดหายไป   กลับเพิ่มขึ้นและช่ำชองในการดึงออกมาใช้    ต่างจากแบตเตอรี่ทั่วไปจริงมั้ยค่ะ  แล้วขุมพลังนี้มาจากไหน

ขุมพลังใจแหล่งใหญ่มาจากความรักความอบอุ่นในครอบครัว  และมีอีกอย่างที่จะเป็นขุมพลังในใจสำรองให้เค้าพร้อมใช้งาน มาจากการเล่นนั่นเองค่ะ  ยิ่งเล่นยิ่งเยอะประสบการณ์ และแปรเปลี่ยนเป็นพลังในใจเก็บไว้ใช้ตอนโตเป็นผู้ใหญ่ได้อีกด้วย

การเล่น คืองานของเด็ก  และการเล่นกับธรรมชาติ ก็เป็นการเล่นที่สร้างสมดุลของพลังทางร่างกายและจิตใจให้กับเด็กๆ

   เมื่อเด็กได้สัมผัสดินนุ่มๆ  การถ่ายเทพลังงานส่งผ่านมือ ผ่านเส้นใยประสาท และโยงใยไปถึงสมอง  มากไปกว่านั้น คือ ใจที่สบาย  ได้ปลดปล่อยถ่ายเทความรู้สึก ความคิด ผ่านการขยำ  การปั้น  การคลุกตัวกับดินและโคลน  ซึ่งการได้เล่นแบบเลอะเต็มที่นั้นทำให้เด็กได้ปลดปล่อยอารมณ์และความคิดต่างๆได้อย่างดีเยี่ยมเลยละค่ะ 

   หรือให้โอกาสเด็กได้เดินเท้าเปล่าเหยียบผืนดิน  วิ่งไปในที่กว้าง  โล่ง สบาย   รับรองว่า เด็กๆได้ปลดปล่อยความเป็นตัวเอง แบบไร้กรอบ ไร้ข้อบังคับใดๆ  ความเครียด ความอึดอัด   ถูกถ่ายเทออกไป  จนเหลือแต่ใจที่สบาย และเป็นสุข   ลองนึกถึงตัวเราเองเวลาเครียดๆ เรายังอยากวิ่งไปในที่โล่งๆกว้างๆ มีสีเขียวสบายตา จริงมั้ยค่ะ  และหลังจากนั้นพลังงานของเราก็กลับมาได้อย่างเหลือเชื่อ    สำหรับเด็กๆที่ได้ทำแบบนี้เป็นประจำ  พลังงานดีๆเหล่านี้ จะสะสมอยู่ในใจของเค้าอย่างแน่นอน

     หรือเมื่อเด็กได้ปีนป่ายต้นไม้  จนไปถึงเป้าหมาย  แม้พลังร่างกายจะถูกใช้ไป  พลังสมองถูกดึงไปวางแผนการก้าวแต่ละกิ่งแต่ละขั้น     แต่พลังใจเพิ่มขึ้นอย่างน่าประหลาด  และเมื่อถึงจุดชมวิว  เด็กๆก็ได้รับพลังใจอย่างท่วมท้น  และมีแรงบันดาลใจว่า ต่อจากนี้ ทุกสิ่งในชีวิตที่พบเจอ  เราก้าวได้อย่างแน่นอน

น่าแปลกใช่มั้ยค่ะ  ที่เด็กต่างจากผู้ใหญ่อย่างเราเหลือเกิน  เด็กมีพลังกายที่เหลือล้น  และเมื่อเค้าได้ถ่ายเทพลังงานกับธรรมชาติอย่างสมดุล  พลังนั้น จะแปรเปลี่ยนเป็นพลังในใจ  ที่เก็บไว้ใช้ตอนโต   เป็นแบตเตอรี่ที่พิเศษ ยิ่งใช้ยิ่งเพิ่ม

แอดมินเองในช่วงวัยเด็ก  เติบโตจากตึกแถว และต่อมาได้มีโอกาสใกล้ชิดธรรมชาติที่บ้านสวน   แอดมินรู้สึกว่า  ความสุขจากการเล่นของเล่นที่ซื้อสำเร็จ กับความสุขจากการเล่น ดิน หิน ทราย ใบไม้ใบหญ้า มันต่างกัน  สำหรับแอดมินแล้ว เวลาที่เราเล่นอยู่กับธรรมชาตินั้นภาพความทรงจำ ความชุ่มชื่นหัวใจ มันเป็นพลังอบอุ่นให้เราทุกครั้งที่นึกถึง แม้จะโตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ตาม

สมัยนั้นผู้ใหญ่ไม่เคยมานั่งสอนว่า  เล่นอะไรอย่างไร   แค่เพียงก้าวออกจากบ้านก็สดชื่น เล่นดินใต้ต้นไผ่  เสียงลมพัดใบไผ่ สัมผัสมาสบายตัว  เดินไปเล่นกับหมา คุยกับหมาบ้างคุยกับนกบ้าง(เค้าเหล่านี้เป็นผู้ฟังที่ดีมาก ไม่มีเถียงกลับ)  เบื่อขุดดิน ก็เดินเก็บดอกไม้ใบไม้   มีอะไรให้ทำทั้งวัน  เล็กๆเล่นทำขนมครกเตาถ่าน  โตมาวิดน้ำร่องสวน เล่นดินคลุกโคลน

แล้วการเล่นแบบธรรมชาติ จะทำให้เด็กปรับตัวในโลกยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างไร  มาดูกันค่ะ 

-เมื่อเด็กสัมผัสดิน ทราย น้ำ  มือของเด็กๆได้ทำงาน  กระตุ้นการทำงานของประสาทสัมผัสไปสู่การเรียนรู้ของสมองและจิตใจ เกิดพลังงานที่สมดุล  ไร้การปรุงแต่ง   และยังส่งเสริมให้เกิดจินตนาการที่ไร้กรอบ  ซึ่งมีประโยชน์มากในยุคที่หุ่นยนต์และไอทีเติบโต    เด็กๆจะโตมาพร้อมจินตนาการที่ไม่ถูกกำหนดรูปแบบ  เค้าจะมีความคิดสร้างสรรค์  ต่างจากหุ่นยนต์ที่ทำได้เพียงตามสั่งเท่านั้น   เด็กๆที่มีพลังสร้างสรรค์จึงมีโอกาสทางการทำงาน อย่างมีความสุข  ลดความเสี่ยงจากการถูกหุ่นยนต์แย่งอาชีพไป

-เมื่อเด็กเล่นอยู่กับธรรมชาติ  จมูกของเด็กๆมีโอกาสได้รับกลิ่นแห่งธรรมชาติ กลิ่นใบไม้ ใบหญ้า  กลิ่นและความบริสุทธิ์ของอากาศในแบบที่ยั่งยืนต่อทางเดินหายใจ  ก็เป็นอีกหนึ่งขุมพลังที่เราทุกคนต้องการเหมือนๆกัน  เด็กจะเรียนรู้ว่า หากเรากินง่ายอยู่ง่าย  ปรับตัวใช้เท่าที่จำเป็น  เค้าก็จะมีสิ่งแวดล้อมที่เป็นมิตร  และเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ได้สูดกลิ่นธรรมชาติชุ่มชื่นหัวใจ  ดีกว่าสูดกลิ่นหน้ากากอนามัยตลอดปี

-เสียงสัตว์ เสียงน้ำ เสียงลม ตามธรรมชาติ  เป็นดนตรีบำบัดให้กับเด็กๆในทุกๆวัน   เป็นเสียงที่ไม่สร้างความตื่นเต้นแบบสุดขีด ไม่เร่งเร้าจนเกินไป  เป็นท่วงทำนองตามธรรมชาติที่ทำให้พลังในใจของเค้าสมดุล  สร้างจังหวะที่ดีของชีวิต   เด็กจะลดตัวตน  มีสมาธิ  รู้จักรับฟัง  และรับรู้ว่า เราเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ได้อย่างมั่นคง  แม้ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

-สายตาของเด็กๆที่ได้อยู่กับสีเขียวจากต้นไม้ ใบไม้ ซึ่งเป็นสีที่ถนอมสายตาคู่นี้ ให้เค้ายังใช้งานมันได้จนแก่    ไม่ถูกทำลายด้วยแสงหน้าจอเสียก่อนวัยอันควร  เราเคยสังเกตตัวเองมั้ยค่ะ ทุกครั้งที่เราใช้หน้าจอนานๆ  เมื่อได้ละสายตาไปทางต้นไม้สีเขียว  เหมือนเราได้ชาร์ตแบตเพิ่มอีกนิด  ในเด็กๆก็เช่นกันค่ะ ถ้าเค้าได้เล่น ได้สัมผัสใกล้ชิดต้นไม้เป็นประจำ  ก็จะสร้างพลังงานที่สมดุลไว้ในใจเค้า  เพราะสีตามธรรมชาติเป็นสีที่สร้างพลังใจแบบนุ่มนวล และมั่นคงได้อย่างดีที่สุด

และหากนึกย้อนไป งานที่เราทำ ก็ คือ การเลียนแบบจากการเล่นในวัยเด็ก   แล้วนำประสบการณ์ ขั้นตอนการเรียนรู้  ความสนุกที่จะเรียนรู้  มาเป็นพลังใจสร้างสรรค์ผลงาน

เช่น เมื่อเด็กปลูกผักบุ้ง  รสชาติผักที่ปลูกเอง  นอกจากจะได้รับความอร่อยทั้งทางลิ้นและทางใจ  ยังได้เรียนรู้ขั้นตอนการทำงานจริง   ส่วนผักบุ้งที่ปลูกหากตายก่อนได้กิน  เด็กอาจเสียใจแต่ก็ไม่เป็นไรนะ   มันยังกลายเป็นปุ๋ยได้   เราปลูกใหม่ได้อีก   เด็กจะเรียนรู้ว่าทุกปัญหา แค่ยอมรับ และก้าวต่อไปในรูปแบบต่างๆ   เรียกว่า เด็กมีภูมิคุ้มกันทางใจ นั่นเอง

เรามาสร้างเด็กๆให้เติบโตไปพร้อมกับขุมพลังในใจที่อบอุ่นและมั่นคงกันค่ะ  ขุมพลังเหล่านี้ จะทำให้เด็กก้าวข้ามผ่านอุปสรรค และปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วได้ในปัจจุบันและอนาคต   โดยไม่หลงทางอย่างแน่นอน


ด้วยรักและห่วงใย

แม่กรีนเภสัชแม่กรีนกายภาพ

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้