วิตามินซีสูงในผักผลไม้ 10 อันดับ – เสริมภูมิคุ้มกัน

อีกนานไหมที่เราต้องอยู่อย่างระวังรอบด้าน   คงไม่มีใครบอกได้    ในระหว่างที่เรายังควบคุมโรคระบาดไม่ได้ และบุคลากรทางการแพทย์พยายามทำงานกันอย่างหนัก  เพื่อหาวิธีป้องกันการระบาด และการรักษา   สิ่งหนึ่งที่เราทำได้อีกทางในทุกๆวัน นอกจากการรักษาระยะห่าง การใส่หน้ากาก การล้างมือเป็นประจำ   ก็คือ  การดูแลภูมิคุ้มกันของร่างกายให้เป็นเกราะป้องกันอย่างดีอยู่เสมอ

      แน่นอนว่า เมื่อพูดถึงอาหารที่มีส่วนช่วยในการเสริมภูมิคุ้มกัน  สารอาหารแรกที่เรานึกถึง คือ วิตามินซี    ซึ่งข้อมูลทางการแพทย์ระบุว่า มีส่วนช่วยการทำงานของเม็ดเลือดขาว  และช่วยกระบวนการทำลายเชื้อโรค

โดยความต้องการต่อวันตามข้อกำหนดปริมาณสารอาหารอ้างอิงที่ควรได้รับประจำวันสำหรับคนไทย  พ.ศ. 2563  ตามช่วงอายุต่างๆดังนี้

ในเด็กอายุ                          1-8 ปี  ควรได้รับ 25-40  มิลลิกรัมต่อวัน

ในเด็กและวัยรุ่น อายุ          9-18 ปี ควรได้รับ 60-100 มิลลิกรัมต่อวัน

ผู้ใหญ่ อายุตั้งแต่               19 ปีขึ้นไป  ควรได้รับ 85-100 มิลลิกรัมต่อวัน

สำหรับปริมาณวิตามินซีในผลไม้ต่างๆ ในส่วนที่กินได้ 100 กรัม    มีข้อมูลในตารางด้านล่างนี้ค่ะ

เนื่องจากวิตามินซีจะสูญเสียได้ง่ายเมื่อโดนความร้อน และสัมผัสน้ำโดยตรง   ดังนั้น ในการกระบวนการทำผักเป็นอาหาร จึงควรใช้วิธีนึ่ง หรือผัดที่ใช้ระยะเวลาสั้นๆ   ก็จะช่วยสงวนวิตามินซีในผักได้ดีขึ้น 

และแนะนำให้รับประทานผักผลไม้ต่อวันให้ได้อย่างน้อย 400 กรัม

นอกจากวิตามินซีแล้ว วิตามินเอ  สังกะสี  และ สารอาหารตามโภชนาการ น้ำเปล่าที่บริโภค ก็เป็นสิ่งจำเป็นในการเสริมภูมิคุ้มกันเช่นกัน   ร่วมกับการออกกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อยวันละ  1 ชั่วโมง    รับรองว่า ร่างกายเราจะสดชื่น พร้อมต่อสู้กับเชื้อโรคแน่นอนค่ะ

เป็นกำลังใจให้ทุกบ้านนะคะ

#แม่กรีนเภสัชแม่กรีนกายภาพ

ติดตามบทความอื่นๆได้ที่

www.greeneryherbsthailand.com  

 

อ้างอิงข้อมูล

1.สำนักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. (2563). ปริมาณสารอาหารอ้างอิงที่ควรได้รับสำหรับคนไทย พ.ศ. 2563. กรุงเทพมหานคร: ห้างหุ้นส่วนจำกัด เอ.วี. โปรเกรสซีฟ.

2. Khaled MB & Benajiba N. (2020). The role of nutrition in strengthening immune system against newly emerging viral diseases: case of SARS-CoV-2. The North African Journal of Food and Nutrition Research, 4(7), 240-44.

3.USDA